หลังจากทำงานมาเกือบสองปี Nissan ก็ได้บูรณะ GT-R R32 และแปลงเป็นรถไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อย แม้ว่ามันจะดูเหมือนเพิ่งออกจากสายการผลิต โดยเครื่องยนต์ได้ถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว แน่นอนว่าเกียร์ธรรมดาห้าสปีดก็หายไปเปลี่ยนเป็น ออโต้ แต่ยังมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่เลียนแบบความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์
มอเตอร์แต่ละตัวให้กำลัง 215 แรงม้าและแรงบิด 251 ปอนด์-ฟุต (340 นิวตันเมตร) นิสสันได้ตั้งเป้าให้ GT-R มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรถยนต์มาตรฐานที่ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.6 ลิตร R32 ปี 1989 มีกำลัง 276 แรงม้าและแรงบิด 260 ปอนด์-ฟุต (353 นิวตันเมตร)
R32 EV มีน้ำหนักกว่ารถรุ่นเดิมมาก โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาประมาณ 816 ปอนด์ (370 กิโลกรัม) ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 3,961 ปอนด์ (1,797 กิโลกรัม) น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากชุดแบตเตอรี่ขนาด 62 กิโลวัตต์ฮาว ที่นำมาจากรถแข่ง Leaf Nismo RC02 และติดตั้งไว้ตรงที่เบาะหลัง
GT-R มีมอเตอร์ไฟฟ้าหนึ่งตัวที่ด้านหน้าและอีกตัวหนึ่งที่ด้านหลัง จึงมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และได้เปลี่ยนมาใช้ ล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ 18 นิ้วที่หุ้มด้วยยางขนาด 235/45 R18 ยางแบบใหม่เลียนแบบการออกแบบของชุดเดิมและมาพร้อมกับระบบเบรกที่แข็งแรงขึ้นซึ่งยืมมาจาก รุ่น Godzilla นอกจากนี้ รถรุ่นปลอดมลพิษยังมาพร้อมช่วงล่างที่ปรับแต่งโดย Nismo พร้อมโช้คอัพ Öhlins ที่ปรับแต่งมาเพื่อรองรับน้ำหนักที่มากขึ้น
ภายในห้องโดยสารแบบสองที่นั่งดูคุ้นเคยในทันที แต่มีมาตรวัดดิจิทัลความละเอียดสูงแบบใหม่ที่ยังคงรูปแบบคลาสสิกเอาไว้ เบาะนั่งด้านหน้ามาตรฐานถูกแทนที่ด้วยเบาะนั่งคู่ที่ออกแบบเองของ Recaro ที่โอบรับตัวพร้อมสายรัดแบบแข่ง อย่างไรก็ตามทางนิสสันยังไม่มีแผนการผลิต Nissan GT-R R32 วางขายจริง ๆ เป็นเพียงทำมาเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในรถรุ่นอื่นของค่ายก็เป็นไปได้
ที่มา Motor1