ด้วยความต้องการของรถพลังงานไฟฟ้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตรถหลายค่ายได้เริ่มชะลอการผลิตรถ EV ล้วน และล่าสุดมีข่าวว่า ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Ford กำลังลดกำลังการผลิตรถ EV ในยุโรป โดยเฉพาะการลดกำลังการผลิตในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศเยอรมนี
หนังสือพิมพ์ Kölner Stadt-Anzeiger ของเยอรมนีได้รับข้อมูลจากโฆษกของ Ford ว่า “สภาพตลาดของรถไฟฟ้าที่ลดลงอย่างรวดเร็ว” กำลังทำให้การผลิต Ford Explorer และ Ford Capri ได้หยุดลง พนักงานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสลับกันทำงานหนึ่งสัปดาห์และหยุดหนึ่งสัปดาห์จนถึงวันหยุดคริสต์มาส ซึ่งถือเป็นผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการดำเนินงานในเมืองโคโลญเมื่อพิจารณาว่า Ford ลงทุน 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมโรงงานในเยอรมนีให้พร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
เป็นเรื่องยากที่ผู้ผลิตรถยนต์จะชะลอการผลิตรถยนต์ที่เพิ่งจะเริ่มทำการ ผลิตมาเพียงไม่กี่เดือน การรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Ford ในยุโรปนั้นต้องแลกมาด้วย Fiesta ซึ่งเป็นรถซูเปอร์มินิยอดนิยมที่เลิกผลิตไปในเดือนกรกฎาคม 2023

ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ส่วนแบ่งการตลาดของ Ford ในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสมาคมการค้าเสรียุโรป/ภูมิภาค EFTA (ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์) ลดลงจาก 4.1% เหลือเพียง 3.3% เท่านั้น ตัวเลขที่เผยแพร่โดยสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) แสดงให้เห็นว่า Ford ขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้เพียง 326,975 คัน ลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2023
Automotive News Europe รายงานว่าโรงงานในเมืองโคโลญมีแผนที่จะหยุดการผลิตเพิ่มเติมในช่วงต้นปี 2025 โรงงานแห่งแรกที่เป็นกลางทางคาร์บอนของบริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุด 250,000 คันต่อปี แต่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวดูเหมือนเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ แล้วในตอนนี้
นอกจากนี้รถไฟฟ้าอีกคันของ Ford อย่าง F-150 Lightning ก็กำลังประสบปัญหาเช่นกัน โดยโรงงานในเมืองดีร์บอร์นในรัฐมิชิแกนจะหยุดการผลิตตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนจนถึงวันที่ 6 มกราคม 2025 เนื่องจากความต้องการที่ลดลง การหยุดการผลิตเป็นเวลา 7 สัปดาห์นี้รวมถึงวันหยุดยาวหนึ่งสัปดาห์ตามปกติ และเป็นครั้งที่สองที่ Ford หยุดการผลิต โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์เป็นเวลา 9 สัปดาห์เนื่องจากปัญหาด้านคุณภาพที่ไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าจะถึงเดือนเมษายน

ที่มา Motor1