ค่าย BYD ประกาศสงครามราคาครั้งใหม่ลดราคารถในประเทศจีน จนตลาดปั่นป่วน

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา BYD ได้เปิดตัวการลดราคาครั้งใหญ่ โดยลดมากถึง 22 รุ่น โดยลดราคาสูงสุดถึง 53,000 หยวน โดยมีการลดราคาทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็น Dynasty และ Ocean โดยรุ่น Seagull เริ่มต้นที่ 55,800 หยวน (250,000 บาท) และรุ่น Seal 07 DM-i ลดราคาเหลือ 102,800 หยวน (467,000 บาท) ซึ่งคาดว่าเป็นการระบายสต็อก และรักษาส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม EV ที่เริ่มอิ่มตัวมากขึ้น

ประกาศดังกล่าวส่งคลื่นความตกตะลึงไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Geely, Chery และ SAIC-GM ก็ได้ตอบสนองกับการลดราคาของ BYD ด้วยการรดราคาเพื่อทำให้สามารถแข่งในตลาดได้

อย่างไรก็ตามกลุ่มอุตสาหกรรมและหน่วยงานกำกับดูแลตอบสนองด้วยความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) และกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ได้ออกคำเตือนสาธารณะเกี่ยวกับ “สงครามราคา” โดยอ้างถึงการลดลงของอัตรากำไรของทั้งอุตสาหกรรมจาก 4.3% ในปี 2024 ลดลงเหลือ 3.9% ในไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาในระยะยาว และอาจจะทำให้ผู้ที่สายป่ายไม่ยาวพอต้องปิดตัว พร้อมทั้งยกตัวอย่างความล้มเหลวของการทำตลาดรถมอเตอร์ไซค์ของจีนในตลาดอาเซียน

และกระแสตอบรับจากค่ายคู่แข่งในประเทศก็ออกมาไม่ค่อยพอใจกับการที่ BYD ได้ทำสงครามราคา โดยประธานบริษัท Great Wall Motors คุณ Wei Jianjun เปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับ “Evergrande ของภาคส่วนยานยนต์” โดยกล่าวหาว่า BYD ได้ทำการบีบบังคับให้ซัพพลายเออร์เพื่อทำสงครามราคา ส่วน Yin Tongyue ประธานบริษัท Chery อธิบายว่าการที่บริษัทเข้าร่วมการลดราคาเป็น “การบังคับ” Geely เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแข่งขันในด้านคุณภาพมากกว่าราคา

นักวิเคราะห์ชี้สาเหตุที่ค่าย BYD ลดราคาอย่างหนักเป็นเพราะ BYD ตั้งกำหนดเป้าหมายขายรถได้ 5.5 ล้านคันภายในปี 2025 แต่กลับขายได้เพียง 1.38 ล้านคันในสี่เดือนแรกของปี 2025 ซึ่งน้อนกว่าเป้ามาก ทำให้ไม่แปลกที่จะมีการลดราคาครั้งใหญ่อีกรอบ เพื่อกระตุ้นยอดขายได้ตามเป้า

แต่การลดราคาไม่ได้ส่งผลดีกับตลาดหุ้น เพราะ เมื่อวันที่ 23 และ 24 พฤษภาคม หุ้นของ BYD ร่วงลงมากกว่า 10% ในตลาดหุ้นที่เปิดในฮ่องกง ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงมากกว่า 100,000 ล้านหยวน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงมองในแง่ดี โดยอ้างถึงกำไรสุทธิของ BYD ในปี 2024 ที่มากถึง 40,200 ล้านหยวน และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มเป็น 54,200 ล้านหยวน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

ที่มา Carnewschina