ก่อนหน้านี้ ประธานบริษัทโตโยต้า อากิโอะ โตโยดะ (Akio Toyoda) ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (BEV) ขึ้นอีกครั้ง โดยอ้างในบทสัมภาษณ์เมื่อเดือนเมษายนว่า “BEV 9 ล้านคัน ปล่อยคาร์บอนเท่ากับรถยนต์ไฮบริด 27 ล้านคัน”
อย่างไรก็ตาม การวิจัยจากสถาบันทั้งของจีนและต่างประเทศได้ให้ภาพที่แตกต่างออกไป การศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิงหัวในปี 2022 พบว่ารถยนต์ไฟฟ้าปล่อย CO₂ น้อยลง 20–30% ตลอดอายุการใช้งานในจีน แม้จะคำนึงถึงส่วนผสมของพลังงานที่ใช้แบตเตอรี่ หก็ตาม
โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยและเทคโนโลยียานยนต์แห่งประเทศจีน (CATARC) ยืนยันว่ารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในจีนปล่อย CO2 ประมาณ 118 กรัมต่อกิโลเมตรตลอดอายุการใช้งาน เมื่อเทียบกับ 163 กรัมของรถพลังงานผสม โดย ระบบรถไฟฟ้าของจีนกำลังปรับปรุงอย่างรวดเร็ว โดยแหล่งพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลจะเกิน 40% ในปี 2024 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 50% ในปี 2030
แม้ว่าไฮบริดจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ICE แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก ไฮบริดแบบเดิม ๆ เช่น Prius จะใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กและมีระยะทางวิ่งที่จำกัด ส่วนรถแบบปลั๊กอินไฮบริดแบบ (PHEV) มีระยะทางวิ่งที่ไกลกว่า แต่ในทางปฏิบัติมักจะทำได้ไม่ดี ข้อมูลของยุโรปแสดงให้เห็นว่าผู้ขับขี่ PHEV จำนวนมากไม่ได้ชาร์จไฟเป็นประจำเหมือนเจ้าของรถ EV ล้วน ส่งผลให้ปล่อยมลพิษในโลกแห่งความเป็นจริงเกินกว่าระดับอยู่ในห้องทดสอบ
การผลิตแบตเตอรี่ EV กำลังสะอาดขึ้น CATL และ BYD กำลังขยายขนาดสารเคมีที่ปราศจากโคบอลต์และนิกเกิล เช่น LFP และ LMFP เพื่อลดการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ในจีน CATARC ประมาณการว่าความเข้มข้นของคาร์บอนในแบตเตอรี่ลดลงเกือบ 15% ระหว่างปี 2020 ถึง 2024
และคำพูดของ Akio Toyoda จะพูดแสดงความกังวลกับรถ EV แต่ทาง Toyota ก็ยังลงทุนในการพัฒนา EV ในจีน ภายใต้กลยุทธ์ “China R&D 2.0” บริษัทได้ร่วมมือกับ Huawei, Xiaomi และ Momenta เพื่อร่วมกันพัฒนาห้องนักบินอัจฉริยะและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ บริษัทร่วมทุน เช่น GAC Toyota และ FAW Toyota กำลังสร้างแพลตฟอร์ม BEV และ PHEV ส่วนทาง BYD จัดหาส่วนประกอบสำคัญ รุ่นต่างๆ เช่น bZ5, bZ3X และ bZ7 ที่กำลังจะออกสู่ตลาด ทำให้การที่ประธาน Toyota ออกมาบอกแบบนี้ดูจะขัดแย้งกับการที่ค่ายกำลังพัฒนารถ EV ในจีน
ที่มา Carnewschina