นิสสันเตรียมปิดโรงงาน 7 แห่งรวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้อาจมีคนตกงานมากถึง 2 หมื่นคน

ดูเหมือนว่าวิกฤตของนิสสันยังคงไม่สิ้นสุด เพราะข่าวล่าสุดเตรียมปิดโรงงาน 7 แห่งรวมถึงประเทศไทย เลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 2 หมื่นคน ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่รับมือภาวะขาดทุนหนักและ ปัญหาใหม่อย่างการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

โดยรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมาสื่อใหญ่อย่าง นิกเกอิ เอเชีย รายงานว่า นิสสัน มอเตอร์ เตรียมปิดโรงงาน 7 แห่งจากทั้งหมด 7 แห่งทั่วโลก (มีประเทศไทยด้วย) ตามแผนการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของอีวาน เอสปิโนซา ประธานและซีอีโอคนใหม่ของบริษัท มีเป้าหมายเพื่อพลิกฟื้นสถานะทางการเงินของบริษัทที่ขาดทุน

ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร ซีอีโอคนใหม่ของนิสสันเปิดเผยว่า บริษัทจะรวมโรงงานในไทย และย้ายฐานการผลิตจากอาร์เจนตินาไปที่บราซิล พร้อมประเมินฐานการผลิตในญี่ปุ่นด้วย

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่บริษัทเปิดเผยผลขาดทุนสุทธิมหาศาล 6.70 พันล้านเยน หรือราว 4.5 พันล้านเหรียญ สำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม แต่ตัวเลขดังกล่าวดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่คาดว่าจะขาดทุนสูงถึง 700,000 – 750,000 พันล้านเยน

ผลประกอบการล่าสุดของ Nissan ถือว่าลดลงอย่างมาก โดยส่วนใหญ่เกิดจากยอดขายที่ลดลงในนตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงค่าเสื่อมราคาในอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น

เอสปิโนซา ได้กล่าวว่า “ผลประกอบการตลอดทั้งปีนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจน… เรามีต้นทุนคงที่ที่สูงเกินไป” เขากล่าวเสริมว่าปีงบประมาณปัจจุบันจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับ Nissan และบริษัทไม่สามารถให้ประมาณการกำไรได้ในขณะนี้เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ

Nissan กำลังดำเนินการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการลดจำนวนพนักงานทั่วโลก การปิดโรงงาน และการยกเลิกแผนการลงทุนบางส่วน โดยมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนคงที่ลง 500,000 ล้านเยนภายในเดือนมีนาคม 2570 ผ่านการรวมโรงงานและมาตรการอื่นๆ

ภายใต้แผนดังกล่าว Nissan จะเลิกจ้างพนักงาน 20,000 คนทั่วโลก หรือประมาณ 15% ของพนักงานทั้งหมด ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากแผนเดิมที่จะเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน ซึ่งใกล้เคียงกับแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทในปี 1999 ซึ่งบริษัทได้เลิกจ้างพนักงาน 21,000 คนและปิดโรงงานในญี่ปุ่น

นอกจากนี้ Nissan ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้า 25% ของประธานาธิบดีทรัมป์สำหรับรถยนต์ที่ผลิตนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท โดยหุ้นของ Nissan ร่วงลงมากกว่า 20% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยกว่า

นอกจากนี้ CEO ของนิสสัน ยังมุ่งเน้นไปที่การเจรจาความร่วมมือใหม่ ทั้งภายในและภายนอกอุตสาหกรรมรถยนต์ ท่ามกลางต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติและการใช้พลังงานไฟฟ้า แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า Nissan อาจควบรวมกิจการกับ Honda แต่การเจรจาก็ถูกยกเลิกไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

และแม้การร่วมทุนกับ Honda จะล้มเหลว แต่ทาง เอสปิโนซา กล่าวว่าอาจจะมีการจับมือกับ Honda เพื่อทำตลาดสหรัฐฯ อย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพตลาดปัจจุบัน … Honda เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เรากำลังหารือกับพวกเขาเพื่อสำรวจวิธีการสร้างโครงการร่วมกัน … เราเปิดรับความร่วมมือใดๆ ตราบใดที่ความร่วมมือสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับ Nissan ได้

เอสปิโนซา ยอมรับว่า “การตัดสินใจปรับโครงสร้างใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นการตัดสินใจที่เจ็บปวดและน่าเศร้า… ขนาดของบริษัทในปัจจุบันไม่ยั่งยืน และหากเราไม่ทำอะไรเลยตอนนี้ ปัญหาจะยิ่งแย่ลงในอนาคต

ที่มา moneyandbanking