เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ได้เกิดอุบัติเหตุรถ Xiaomi SU7 ชนจนเกิดเพลิงไหม้ และส่งผลให้มีนักศึกษาสาว 3 คนต้องเสียชีวิต โดยเหตุเกิดบนทางหลวงในมณฑลอานฮุย โดยอุบัติเหตุครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางของชาวเน็ตจีน รถกำลังขับในโหมดขับขี่อัจฉริยะของ NOA เมื่อตรวจพบสิ่งกีดขวาง ระบบเข้าควบคุมและสั่งเบรก แต่โชคร้ายที่รถกลับพุ่งชนข้างทางด้วยความเร็ว 97 กม./ชม. เราได้กล่าวถึงรายละเอียดของอุบัติเหตุในรายงานฉบับก่อนหน้านี้แล้ว
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับ Xiaomi และคุณสมบัติการขับขี่อัจฉริยะ และทำให้ หุ้น Xiaomi ร่วงบงมากกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในเวลาสองวัน ในเวลาเดียวกัน หลายคนยังแสดงความสงสัยเกี่ยวกับการขับขี่อัจฉริยะและการทำการตลาด
จากรายงานของ Guancha.cn ระบุว่า แม่ของ คนขับที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุได้เตือนลูกสาวหลายครั้งเกี่ยวกับอันตรายจากการ “ไว้ใจฟังก์ชันการขับขี่อัจฉริยะแต่เพียงอย่างเดียว” อย่างไรก็ตาม ลูกสาวของเธอตอบกลับว่าฟังก์ชันดังกล่าว ระบบนี้ปลอดภัยในการใช้งาน

ต่อมาสื่อมวลชนได้ชี้ให้เห็นว่าการใช้คำที่เกินจริงในโฆษณาและเกม รวมถึงการส่งเสริมฟังก์ชันการขับขี่อัจฉริยะมากเกินไป ได้สร้างความสับสนเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง “การขับขี่อัจฉริยะ” ผู้ผลิตหลายราย โดยเฉพาะผู้ที่เน้น EV มักใช้วลีเช่น “การขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง” “รถยนต์หลบสิ่งกีดขวาง” หรือแม้กระทั่ง “ให้ผู้ชับปล่อยมือของคุณจากพวงมาลัย” เพื่อทำการตลาดฟังก์ชัน ADAS ระดับ L2 ซึ่งคำโฆษณานี้อาจทำให้ผู้บริโภคที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีเข้าใจผิดว่ารถยนต์สามารถจัดการขับแทนได้ทั้งหมด ของพวกเขาได้ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียสมาธิบนท้องถนนได้ ทั้ง ๆ ที่บางระบบไม่สามารถมาแทนคนได้ทั้งหมด
โดยชระบบ NAD ไม่ใช่ของฟรี เพราะเป็นระบบที่ต้องเสียบริการสมัครสมาชิกขับขี่อัตโนมัติจำนวน 680 หยวน และใน ในงานเปิดตัวรถมีการระบุว่า NAD ย่อมาจาก NIO Assisted และ Intelligent Driving ซึ่งทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด นอกเหนือจากภาษาทางการตลาดแล้ว สื่อยังเน้นย้ำว่าวิดีโอส่งเสริมการขายบางรายการมีเนื้อหาที่ผู้สร้างเนื้อหาวางมือออกจากพวงมาลัย และปล่อยให้รถขับเคลื่อนด้วยตัวเองเป็นเวลานาน สิ่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดและใช้ L2 ADAS อย่างผิดวิธีและไม่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการปล่อยคลิปวิดีโอของคนขับ SU7 อีกรายหนึ่งกำลังนอนหลับในขณะที่รถกำลังขับอยู่บนทางหลวง
การแข่งขันในตลาดรถยนต์จีนได้เปลี่ยนมาเน้นที่ฟีเจอร์การขับขี่อัจฉริยะ โดยผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายมักโปรโมตระบบของตนว่า “ดีกว่าระบบอื่น” สิ่งนี้ทำให้การขับขี่อัจฉริยะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เปิดใจต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากกว่า
ทำให้นักวิเคราะห์ระบุว่าควรมีกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการทำตลาดฟีเจอร์เหล่านี้ รวมทั้งกระบวนการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคที่ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นก่อนซื้อยานพาหนะที่ติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้ผลิตควรต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับอุบัติเหตุ ในท้ายที่สุด บุคคลที่อยู่หลังพวงมาลัยจะต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของชีวิตของตัวเองและผู้โดยสาร ไม่ใช่เพิ่งแต่ระบบแต่เพียงอย่างเดียว

ที่มา Carnewschina